จากประเด็นที่ว่ายุค 4.0 หุ่นยนต์จะมาแย่งงานมนุษย์อาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่าจะตกงาน เพราะกลัวว่าจะไม่มีทักษะและความสามารถมากพอที่จะสู้กับ AI หรือหุ่นยนต์ได้ ซึ่งจากงาน TeC 2018 ประสบการณ์จริง จากคนดิจิทัล งานสุด Exclusive ที่จัดขึ้น ณ Central Plaza Westgate ชั้น 4 Hall Westgate เมื่อวันที่ 28 - 30 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ก็เป็นโอกาสพิเศษอย่างยิ่งที่ คุณทัศไนย เหมือนเสน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ JOBBKK.COM ผู้นำ e-Job Platform เจ้าของรางวัล CEO THAILAND AWARDS 2017 ได้มาไขคำตอบทั้งหมดให้ทุกคนในงานได้รับทราบถึงข้อมูลของประเด็นนี้ และคำตอบซึ่งเป็นข้อคิดสำคัญที่ว่าหุ่นยนต์จะมาแย่งงานเราจริงหรือไม่ ? และหากเป็นเช่นนั้นเราจะต้องเตรียมตัวและพัฒนาตัวเองอย่างไรให้เป็นที่ต้องการขององค์กรชั้นนำอยู่ตลอดเวลา ? JOBBKK.COM ก็ได้รวบรวมมาไว้ในบทความนี้แล้ว ห้ามพลาดนะครับ
ในยุคอุตสาหกรรม 1.0 ในยุคก่อนคริสต์ศักราช 1800 เราเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ และเมื่อมาถึงปี 1900 ยุคอุตสาหกรรม2.0 เราเริ่มทำ Massive Production ก็คือ ผลิตแบบจำนวนเยอะๆ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ทั้งหมด หลังจากนั้นเราเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 3.0 เอาระบบคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์มาใช้ ซึ่งคอมพิวเตอร์ตัวแรกที่แทนที่มาทำงานกับมนุษย์เกิดมานานแล้ว นั่นก็คือ เครื่องพิมพ์ดีด และพอถึงยุคนี้ ยุคของการยึดโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ระบบ Internet จึงต้องมีเรื่องของ Internet Connection มีสัญญาณ Internet ซึ่งเรียกว่ายุคของการยึดโยงหรือ Digital Connectivity ที่สามารถสร้างการสื่อสารทุกรูปแบบ โดยยึดโยงทุกสิ่งเข้าสู่ Internet อย่างตอนที่ผมอยู่สิงคโปร์ เอา Notebook เอามือถือขึ้นมาใช้สัญญาณ 4G ก็สามารถทำงานได้เลย ซึ่งนี่ก็คือยุคของ Digital Connectivity อย่างแท้จริงครับ
ยุคอุตสาหกรรม 4.0 จะ Completed ก็ต่อเมื่อหุ่นยนต์ในโรงงานสามารถผลิตสินค้าตามที่คุณต้องการได้เพียงชิ้นเดียวในโลกนี้เช่น ไปบอกเลยครับว่าอยากได้รถยนต์สีแดง CC ประมาณนี้ Body Type เป็นยังไง มีระบบเบรกเป็นยังไง เป็น Electric Vehicle หรือว่าเป็นน้ำมัน นั่นคือการตอบโจทย์ความต้องการตามปัจเจกบุคคล (Customization)
เมื่อเราถูก Educate ด้วยอุตสาหกรรม 4.0 แบบนี้ เลยทำให้การทำงานของมนุษย์เปลี่ยนไปทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรมนุษย์ที่ให้ความสนใจ ก็คือเรื่องของ Information และข้อมูล (Data) ต่าง ๆ เพราะเมื่อทุกอย่างยึดโยงเข้าสู่ระบบ Internet ข้อมูลส่วนเก่าจึงใช้ไม่ได้ เนื่องจากมีการ Bias ในเรื่องของงานวิจัยแบบเก็บข้อมูลแบบเก่า เช่น เราไป Survey ข้อมูลจากการสอบถาม สมมติคนเอเชีย ถ้ามี Scale 1-5 ถ้าไม่ชอบก็ให้ 4 ถ้าชอบจะให้ 5 แต่ถ้าเป็นฝั่งอเมริกา ไม่ชอบให้ 1 ชอบให้ 4 ข้อมูลจึง Bias มาก เราใช้ไม่ได้ก็เลยต้องทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้จาก Sensor ทั้งหลายที่เกิดจากพฤติกรรมธรรมชาติ , Internet of Thing(IoT) , อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือพฤติกรรมที่อยู่บน Internet แล้วเราก็เอาข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ หรือที่เรียกว่า Big Data ซึ่งตัวนี้แหละครับ จะมาขับเคลื่อนข้อมูลทั้งโลก
Boston Consult Group(BCG) ที่ประเทศเยอรมัน เขาก็ Survey มาว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนจะตกงานประมาณ 6 แสน โดยถูกแทนที่ในส่วนของแขน-ขา(Hand) และสมอง(Head) แต่ส่วนของการคิดในเรื่องของข้อมูล หุ่นยนต์หรือระบบ Algorithm (กระบวนการแก้ปัญหา เช่น เมื่อนำเข้าสิ่งใดจะได้ผลลัพธ์อย่างไร ต้องอธิบายเป็นขั้นตอนได้อย่างชัดเจน) ยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นจึงต้องอาศัยคน อย่าง IT Analytics , Data Scientist , Software Development หรือ R&D ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยจัดงานที่หนึ่ง ได้เจอกับผู้บริหารธนาคารแห่งหนึ่งเขาก็บอกผมเลยว่า ถ้ามี Data Scientist กี่อัตราก็จะรับ เพราะธนาคารต้องการเปลี่ยนในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้น Data จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้น กระบวกการเตรียมข้อมูลบางองค์กรยังทำ IT Transformation ยังไม่เสร็จเลยครับ และเมื่อ IT Transformation ไม่เสร็จเราก็ไม่สามารถเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ งานจึงเพิ่มขึ้น คนทำงานหลายๆ คนกังวลว่างานจะถูกแทนที่ แต่จริง ๆ แล้วตัวเราเองต้องพัฒนา Skills ให้ทันกับงานที่เปลี่ยนไป ซึ่งในที่สุดแล้วเราจะมีงานเพิ่มขี้นอีก 3 หมื่นกว่าอัตรา แต่ Skills ของคนไม่ถึงหรือมีไม่พอ และเมื่อกลับไปดูในมหาวิทยาลัยที่ผลิตคนออกมา Hard Skill ทางด้านนี้ยังมีน้อยมาก แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอาจจะปรับตัวเร็วกว่านิดนึง
อนาคตคนจะเข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยลง และราคาเครื่องจักรกับค่าจ้างก็ยิ่งห่างกันเรื่อยๆ ต่อไปเราต้องจ้างคนแพงขึ้น แต่หุ่นยนต์ราคาถูกลง ซึ่งค่าจ้างที่แพงขึ้นเราต้องจ้าง Professional Workforces นะครับ ถ้าไม่ใช่ก็จะทำงานไม่ได้ และปัจจุบันนโยบายการนำเข้าหุ่นยนต์จากรัฐบาลนั้น ภาษีก็ลดลงมากด้วย
และถ้าเรามองไปอีกประมาณ 10-20 ปี คนจะไปทำอะไรล่ะครับ ? อย่าง Unicorn บริษัทที่สามารถสร้างมูลค่าได้ 1 Billion ซึ่งเมื่อก่อนต้องใช้เวลาถึง 20 ปี แต่ปัจจุบันเพียง 1.7 ปี บริษัท Xiaomi ในประเทศจีนก็สามารถสร้างมูลค่าเท่านี้ได้แล้ว หรือเมื่อก่อนธุรกิจที่รวยที่สุดในโลกในปี 2001 คือ Rolls-Royce ที่ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน แต่ปัจจุบันธุรกิจที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ก็คือ Amazon ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเลยว่าธุรกิจ IT กลายเป็น Lead Technology ทั้งหมด และเมื่อก่อนนั้น เรื่องของจำนวนผู้ใช้งาน (Users) ที่กว่าจะถึง 50 ล้านคนต้องใช้เวลานานมาก อย่างสายการบินก็ต้องใช้เวลาประมาณ 60 ปี แต่ปัจจุบัน Twitter ใช้เวลาเพียง 2 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่าเทคโนโลยีมีส่วนเปลี่ยนและคนถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเยอะมาก
Top Hard Skills อันดับหนึ่งที่เป็นที่ต้องการในขณะนี้เลยคือ Cloud Computing เพราะเรากำลังทำ IT Transformation เราไม่ต้องการคนมาดูแลเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กรที่มีต้นทุนสูง Hard Skills นี้จึงเป็นที่ต้องการมาก แต่ในมหาวิทยาลัยก็ยังมีหลักสูตรทางด้านนี้น้อยมาก
Soft Skills ทั่วไปที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการก็คือ มีใจ อดทน ขยัน และมุ่งมั่น ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงปฐมนิเทศนักศึกษา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มตื่นตัวแล้วว่าจะสอนแต่ Hard Skills อย่างเดียวไม่ได้ เพราะปัจจุบันองค์ความรู้มีอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ขาดคือ นักศึกษาที่กำลังจะเป็นคนทำงานในอนาคตขาด Soft Skills เยอะมาก จึงต้องเข้าไปเปลี่ยนกระบวนการหลังจากศึกษาด้าน Hard Skills หรือองค์ความรู้เฉพาะด้านจนครบแล้ว แล้วอีก 2 ปีหลังก็จะให้ไปเรียนรู้ทางด้าน Soft Skills ถ้าเป็นรุ่นผมก็คือ ฝึกงาน แต่เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยกำลังเปลี่ยนเป็นสหกิจศึกษา ซึ่งก็คือ การฝึกงานที่มีเป้าหมายชัดมากขึ้น หรือที่เรียกว่า Cooperative บางมหาวิทยาลัยก็บอกว่า ปีนี้จะทำ WiL หรือ Work-Integrated Learning ร่วมด้วย คือเรียนน้อยกว่า 50% และทำงานนอกห้องเรียนมากกว่า 50% เพื่อให้เด็กได้ Soft Skills มากขึ้น หรือบางมหาวิทยาลัยก็บอกว่าจะมี Work-based Education คือ ทำงานด้วยเรียนไปด้วย นี่คือสิ่งที่กำลังเปลี่ยน ซึ่งเป็นการมุ่งเข้าไปหา Soft Skills
ส่วน Soft Skill ที่ต้องการมากที่สุด คือ Complex Problem Solving
Soft Skills เกิดจากการพัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ ถ้าเปรียบกับ 3 H ก็คือ Head, Hand และ Heart ซึ่งถ้าจะทำให้ AI หุ่นยนต์ หรือระบบ Algorithm ทำงานได้เหมือนกับคนที่มีปฏิกิริยาเคมี มีความคิด หรือมีหลายๆ อย่างที่เหมือนคนเลยนั้น ยังคงเป็นเรื่องของอนาคตที่ยาวไกล คงไม่เกิดใน 10-20 ปีนี้ เพราะมนุษย์ยังคงชนะในส่วนของการทำงานที่มาจาก Heart (ใช้ใจในการทำงาน) ซึ่งเป็น Soft Skill ที่สำคัญมาก
ฉะนั้นการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยตอนนี้ นักศึกษาไม่ต้องรอครับ ไม่จำเป็นต้องเรียนในห้อง สิ่งสำคัญที่โลกในยุคนี้ต้องการก็คือ การสร้างองค์ความรู้ใหม่แล้วนำไปสร้างนวัตกรรม ซึ่งหลายๆ ที่จะพูดถึงเรื่อง Creative (ความคิดสร้างสรรค์) แต่ผมว่ายังไม่พอ ผมจะใช้คำว่า Collective Intelligence คือคุณต้องเอา Data มาสร้าง Information จากนั้นก็นำมาสร้าง Knowledge หรือองค์ความรู้ที่มาต่อยอดเป็นนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งองค์ความรู้ที่สร้างใหม่นั้นก็ต้องสร้างให้แตกต่างจากหุ่นยนต์
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Culture Fit เพราะจริงๆ แล้วการหาคนทำงาน หรือคนหางาน มันเป็นเรื่องเหมือนกับ “การหาคนรัก” ต่างฝ่ายต่างต้องมองหาสเปกในแบบของตนเอง คนทำงานก็มองว่าบริษัทเป็นอย่างไร บริษัทก็จะมองหาคนรัก ซึ่งคนรักในที่นี้ก็คือ คนรักในงานที่เขาจะทำ ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเขาเข้ากับองค์กรได้ เขาก็พร้อมและยินดีที่จะเดินไปกับองค์กร
หลายคนก็กังวล แล้ว AI จะมาแทนที่คนไหม ? โดยส่วนตัวผมเอง ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ บอกได้เลย 10-20 ปีก็ยังไม่เจอ General AI ที่แทนที่มนุษย์ได้ Completed 100 %
Gartner (บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลก) ก็บอกว่า จริงๆ แล้วช่วงนี้ เขาไป Research มา 59 % ของบริษัทในโลกนี้ กำลัง Prepare Information แค่นั้นเองครับ แสดงว่าพอ Prepare เสร็จก็ต้องไป Training ระบบ ฉะนั้น AI ที่เรากังวลว่าจะมาแทนที่มนุษย์ 100% เลยได้ไหม ก็ตอบว่า ยังครับ
ขอบคุณข้อมูล : คุณทัศไนย เหมือนเสน / Thailand e-business centre - Tec
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved
jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด